หน้าแรก I ติดต่อบางกอกฟอรั่ม I เกี่ยวกับบางกอกฟอรั่ม I  English version   I  Webboard บางกอก

สรุปเนื้อหาบางส่วนที่ได้จากเวทีสุนทรียสนทนา
(ไดอาล็อค)
ณ โรงเรียนอิสลามลำไทร ชุมชนแผ่นดินทองคอยรุตตั๊กวา
แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก

 

นอกจากนี้ ยังมีการมองต่อไปถึงด้านการศึกษาด้วย โดยมองว่าจะนำการศึกษามาพัฒนาท้องถิ่น

“และเราก็จะคิดว่าเราได้เริ่มต้นเรื่องของการศึกษาเพื่อนำมาสู่การพัฒนาท้องถิ่น การศึกษาตรงนี้เราอยากฝันว่าคนที่เรียนหนังสือหรือคนที่เป็นผู้เรียนคงไม่ใช่เด็กอย่างเดียว คงอยากจะเห็นผู้ใหญ่ในพื้นที่เป็นผู้เรียน ร่วมกับมหาวิทยาลัย...สิ่งที่อยากได้มากที่สุดคือมหาวิทยาลัย ที่มีแกนหลักที่สำคัญทางด้านวิชาการ อย่างเป็นจริงสักที ที่มหาวิทยาลัยนั้นจะต้องเป็นแม่แบบ หรือแม่งานให้กับประชาชน แต่ที่ผ่านมาพูดซ้ำได้เลยว่าประชาชนเป็นแม่แบบให้ราชการ อยากเห็นของใหม่คือราชการต้องเป็นแม่แบบให้กับประชาชน  ตรงนี้ที่หนองจอกวาดฝัน” (อ.สมชาย สมานตระกูล)

ส่วนทางบางกอกฟอรั่ม ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ก็ได้นำเสนอเรื่องของ “กลุ่มมูอาบาลาต” ที่ อ.ท่าแพ จ.สตูล ซึ่งมีอาชีพหลักคือทำสวนยางพารา มีปัญหาเรื่องหนี้สิน มีพ่อค้าคนกลางเข้ามารับซื้อยางพาราในราคาต่ำ คนในกลุ่มจึงมานั่งคุยกันเป็นประจำตอนกลางคืน หลังละหมาดเสร็จแล้ว จนได้ความคิดว่าจะต้องเป็นเถ้าแก่เอง เพื่อหลุดจากการเป็นหนี้สินนอกระบบ ในที่สุดก็เกิดแกนนำ 15 คน ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่อายุประมาณ 30-45 ปีขึ้นมาทำงาน โดยการรระดมเงินลงขันกันคนละ 1,000 บาท รวมกันได้ 15,000 บาท  มารับซื้อน้ำยางในราคาที่ดีกว่าพ่อค้าคนกลาง ผลกำไรที่ได้ก็มาเข้ากลุ่ม จากนั้นก็ขยายไปสู่การทำธุรกิจขายปุ๋ย มีกิจกรรมการออมทรัพย์เพื่อช่วยเหลือกันตามหลักศาสนาอิสลาม ผลกำไรที่เกิดขึ้นถูกนำไปใช้เป็นสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือกันในชุมชน

อ.โอภาส ปัญญา ได้ให้แง่คิดว่า การพัฒนานั้น จำเป็นจะต้องพึ่งตนเอง โดยไม่ต้องไปรอคอยความช่วยเหลือจากบุคคลภายนอก

“สิ่งหนึ่งที่ต้องทำคือ อย่าไปสร้างความหวังไว้กับคนข้างนอก เพราะฉะนั้นจงอยู่บนฐานของการพึ่งตนเอง หรือคำว่าพึ่งตนเอง ปฏิเสธรัฐ หรืออะไรต่าง ๆ ต้องพึ่งบนฐานของการพึ่งตนเองในการคิด เพราะฉะนั้นสังคมปัจจุบันนี้ เป็นสังคมที่ต้องใช้ปัญญา ต้องเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ เป็นสังคมที่สร้างความรู้เองเป็น”

“ความรู้ที่จะเคลื่อนสังคมได้คือ ความรู้ที่มาจากปัจเจก และขุดเอาปัจเจกมาผนวกให้เป็นคนอื่นให้ได้ เช่น คุณมีความรู้ ถ้าคุณตายก็ตายไปกับความรู้เลย ขณะนี้ในธุรกิจเขามองหาความรู้ในตัวปัจเจก และมี 2 วิธีทำอย่างไรให้ตัวปัจเจกขยายความรู้ให้ได้ ขยายความรู้ไปสู่คนอื่น หรือไปให้คนอื่นคัดความรู้ต้องแปลงความรู้จากปัจเจกให้เป็นความรู้ของกลุ่มหรือขององค์กร หรือของชุมชนให้ได้ เพราะฉะนั้นการประชุมกันแบบนี้อย่างต่อเนื่อง และดึงคนมาใช้ประโยชน์ความรู้ที่มี ความรู้ถึงจะมีชีวิต”

“ความรู้ไม่ได้อยู่ที่ปริญญาแล้วตอนนี้ เวลาเราพูดถึงการเรียนรู้ไม่ต้องรอผู้วิเศษมาจากมหาวิทยาลัยหรือนายอำเภอหรือผู้ว่า CEO มาบอก ทุกคนต้องไปถามว่าตัวเองมีความรู้อะไรและเราจะให้ความรู้อย่างไร เรามีความรู้เราจะไปเอาความรู้นี้ได้อย่างไร” (อ.โอภาส ปัญญา)

อ.สมชาย สมานตระกูล เสนอว่าน่าจะมีการจดบันทึก เรียบเรียง และผลิตเอกสารชุดความรู้ออกมาให้คนได้ศึกษากันต่อไป

“เราได้คำตอบออกมาคือการสืบค้นท้องถิ่นเพราะเรารู้ว่าหนองจอกของเราเป็นเมืองแบบนี้ มีทรัพยากรมากมาย แต่เราขาดการจัดการ มีการจัดการขึ้นมาโดยใช้ภูมิปัญญา เมื่อเราได้องค์ความรู้มาลักษณะนี้แล้วจนกระทั่งเขาเรียกว่าปราชญ์ชาวบ้าน ผมก็มีความเป็นห่วงขึ้นมาว่าอายุปูนนี้แล้ว และหลายคนบ่นว่า 80 น่าจะเฉียดฉิว ความเป็นห่วงตรงนี้ก็อยากจะได้ว่าบทเรียนแห่งชีวิตที่เป็นภูมิปัญญา แต่จะให้คนกลุ่มอย่างพวกเราทำเป็นตำรา ออกมาหรือเป็นบทเรียนออกมา ผมว่าตายก็ทำไม่ได้ ทำอย่างไรที่จะให้สิ่งที่เราดั้งด้นมาแล้วประสบผลสำเร็จให้กับคนรุ่นหลัง ต้องอาศัยนักวิชาการ ต้องอาศัยคนรุ่นใหม่ที่จะมาเก็บเกี่ยวความรู้แล้วไปเรียบเรียงออกมาเป็นบทเรียนให้คนอื่นได้เห็นถึงแม้จะไม่ได้เอาไปใช้ได้เห็นก็ยังดีเพื่อเป็นบันไดก้าวต่อไป ผมอยากเห็นหนังสือเล่มเล็กที่ไม่เทอะทะหรือวางไว้บนหิ้ง แต่เป็นหนังสือที่ลงไปสู่บทเรียนในห้องเรียน ในมุมหนังสือที่สามารถหยิบมาอ่านได้ในเวลาเพียง 10-20 นาที และได้ความรู้ตรงนี้ไป หรือเขาได้หอบสิ่งเหล่านี้ไปบอกต่อ ผมว่าสิ่งเหล่านี้คนกลุ่มนี้จะพอใจ และเขาคิดว่าตรงนี้เขาพร้อมจะถ่ายทอด  และอยากได้คนที่มาทำตรงนี้ ยังขาดหายไป” (อ.สมชาย สมานตระกูล)

อย่างไรก็ตาม การทำงานของแกนนำบางท่านก็พบปัญหาจากการไม่เชื่อ ไม่ปฏิบัติตามของเกษตรกรบางส่วน

“การที่เราชวนกันลดละเลิกการใช้สารเคมีในนาข้าว   อย่าแต่ชวนเลยทำให้ดู จนสำเร็จแล้วยังไม่เชื่อเลย  ร้านขายยาก็รวยกัน คือคนหนองจอกเขาเรียกว่าดื้อตาใส... เรื่องของการทำสารเคมีประหยัดได้ปีละหลายตังค์ คนทำนาแต่ละครั้ง เป็นหลายหมื่นด้วย เขาก็ไม่เชื่อ เขายังยึดติดว่าถ้าไม่ฉีดยาฆ่าแมลงแล้วจะไม่ได้  ถ้าเราไม่ฉีดข้าง  ๆ เราจะไม่ได้เกี่ยว   ผมได้ทำแล้วผมไม่ได้ฉีดทำไมผมได้เกี่ยว เขาก็ไม่เชื่อ คือยึดติดอยู่กับอย่างเดิม ๆ ทุกวันนี้ไปดูได้ คนที่ฉีดเป็นโรค ทุกวันนี้ยังไม่ได้เกี่ยว  ดื้อตาใสปล่อยให้จนไป เป็นลักษณะอย่างนี้” (คุณโนรี แพฝึกฝน)

ในช่วงท้ายของการสนทนา มีผู้เสนอให้ลงมือรวมตัวทำงานกันอย่างเป็นรูปธรรม

“ตรงนี้น่าจะทำกันเลยดีไหม เพราะโครงการนี้เราดูกันมากหลายที่แล้ว อย่างที่เปร็ดใน ก็ลักษณะอย่างนี้ ใช่ไหม เราก็ไปดูกันมาก็ไปเห็นหลายที่ ความจริงไปดูมาก็เห็นหลายที่แต่ก็ไม่ได้เอามาสานต่อ อยากจะถามว่าเราจะทำกันเลยดีไหมคนหนองจอก ให้เกิดให้ได้ ถึงว่าจะเป็นจุดขาวเล็ก ๆ บนผ้าดำ สักวันจุดขาวอาจจะใหญ่ขึ้นก็ได้” (คุณโนรี แพฝึกฝน)

วงสนทนาวันนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเสริมสร้างให้เกิดกองทุนสุขภาวะของชาวหนองจอก
 
Copyright@ 2006 Bangkok Forum
บางกอกฟอรั่ม เลขที่ 104, 106 ถ.แพร่งภูธร แขวงศาลเจ้าพ่อเสือ เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
โทร. 02-228-1362-3 โทรสาร 02-228-1362 หรือ www.bangkokforum.net หรือ [email protected]