เช้ามืดวันถัดมา นาฬิกาสงฆ์ตีตอนตี 4 เหมือนเดิม แต่ชาวจิตอาสาก็ยังหลับกันอยู่รอเวลาฟ้าสว่าง ภารกิจสร้างบ้านดินยังคงดำเนินต่อไป เมื่อดินถูกนำไปเทบล็อกทำอิฐดินจนหมดบ่อ ก็เป็นการเริ่มต้นการออกแบบบ้านดินหลังใหม่ให้กับกลุ่มเด็กทานตะวัน อาสาสมัคร 4 กลุ่มได้รับมอบหมายให้นำดินมาปั้นเป็นบ้านดินขนาดจำลอง และให้กลุ่มเด็กทานตะวันเป็นผู้เลือกแบบบ้านดินของกลุ่มเอง ผลการตัดสินปรากฏว่า บ้านดินของกลุ่มป่นเห็ดที่มีองค์ประกอบของบ้านและหน้าที่การใช้งานที่ถูกอกถูกใจเด็กๆ ได้รับการเลือกให้เป็นแบบของบ้านดินหลังใหม่นี้
บ่ายวันนี้เราออกเดินทางไปยังอำเภอโขงเจียม ลงเรือชมแม่น้ำสองสีที่เกิดจากแม่น้ำโขงสีขุ่นเข้มตัดกับแม่น้ำมูลสีครามสะอาดใส เราเดินทางข้ามจากฝั่งไทยไปยัง “ ตะหลาดใหม่สีสัมพัน” ในฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เราใช้เวลาช็อปปิ้งหนึ่งชั่วโมงที่ฝั่งลาวก่อนจะนั่งเรือกลับมาที่ฝั่งไทยพร้อมเดินทางต่อไปยังวัดสันโค้งซึ่งเป็นวัดที่อยู่บนเกาะกลางแม่น้ำมูล ที่นั่นมีอาคารและกุฏิดินรวม 3 หลัง ให้ชาวจิตอาสาได้สัมผัสบ้านดินจริงๆ พระอาจารย์จาง ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสได้เล่าถึงการทำบ้านดินและการใช้ชีวิตอยู่กับบ้านดินว่าต้องคอยทำความสะอาดหมั่นใส่ใจในรายละเอียดและสภาพแวดล้อมรอบข้าง จุดใดชำรุดก็ต้องซ่อมต้องฉาบเพิ่มเติม เปรียบเสมือนกับการใช้ชีวิตของคนที่ต้องคอยใส่ใจและคอยตรวจสอบอารมณ์ของตนเองเสมอ ให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิต และคอยเตือนตนเองให้ดำรงอยู่ในศีลธรรม
แม่น้ำมูนยามเย็นเห็นขอบฟ้าจรดผืนน้ำ แสงสีทองสุกประกายทำให้ดื่มด่ำไปกับธรรมชาติ เรือข้ามฝั่ง 2 ลำพาอาสาสมัครกลับไปสู่แผ่นดินใหญ่ ก่อนที่รถบัสจะนำเรากลับสู่ที่พัก
คืนนี้โรงละครจิตอาสาเปิดฉากขึ้น แต่ละกลุ่มเตรียมความพร้อม คนดูก็พร้อมเช่นกัน เด็กน้อยและผู้ใหญ่ในชุมชนออกมานั่งชมการแสดง ณ ศาลากลางหมู่บ้าน เริ่มต้นด้วย กลุ่มมักม่วน ออกมาร้องเพลงสามัคคีชุมนุม และสรุปข้อคิดดีดีว่า “ ในตอนแรกเรามาสร้างประโยชน์ร่วมกัน แต่ในวันนี้เราได้มิตรภาพและความประทับใจกลับไป” กลุ่มต่อมาคือ กลุ่มตุ้มปลายอน กลุ่มนี้มาแปลกเพราะให้เพื่อนอาสาสมัครนั่งสมาธิ หลับตาภาวนา และพูดคำว่า “ จิตอาสา” ให้เสียงไปกระทบกับหัวใจจิตอาสาทุกดวง ปิดท้ายด้วยการร้องเพลงบอกรักกับทุกคน สร้างบรรยากาศความอบอุ่นได้อย่างดีเยี่ยม กลุ่มที่สาม กลุ่มขี้เกี้ยม แสดงละครสดให้พวกเราได้ชมกัน ละครดำเนินเรื่องราวของงานอาสาสมัครที่ทำงานอย่างไม่ย่อท้อในเหตุการณ์สึนามิได้สะท้อนภาพการช่วยเหลือระหว่างกันของเพื่อนมนุษย์ และทิ้งท้ายประโยคเด็ดๆว่า “ เราคืออาสาสมัคร ไม่มีการแบ่งแยก และขอยกนิ้วให้กับอาสาสมัครหัวใจเพชรทุกคน” กลุ่มสุดท้ายใช้เวลาเตรียมตัวนานกว่าใคร กลุ่มป่นเห็ด กลุ่มนี้สร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความอึ้งให้กับผู้ชมทุกคน เพราะว่าพวกเขาออกมาวาดลวดลายการเต้นประหนึ่งเป็นละครเพลงได้น่าประทับใจโดยไม่คำนึงถึงวัยของตนเองเลย ละครเรื่องนี้ได้ทิ้งท้ายเรื่องไว้ว่า “ จริงๆ แล้วการทำงานอาสาสมัคร บางทีเราก็มุ่งจะทำงานมากเกินไป แต่แท้ที่จริงงานไม่สำคัญเท่ากับระหว่างทางที่เราได้ประสบ สิ่งที่สำคัญคือการมองตัวเอง ทำสิ่งดีดี ซึ่งเป็นการเติมเชื้อให้กับตัวเองให้ทุกคนเข้าใจเรื่องจิตอาสามากขึ้น และเป็นกำลังใจแก่กันต่อไป”
การแสดงของแต่ละกลุ่มสื่อถึงพลังความเป็นจิตอาสาได้อย่างประทับใจ ทั้งกระชากวัย ให้สาระและมีความสงบนิ่ง ชาวอาสาสมัครได้มุมมองเรื่องจิตอาสาที่สร้างสรรค์ สิ่งนี้เองที่ชี้ให้เห็นว่าการทำงานอาสาสมัครสามารถสร้างพลังสร้างสรรค์โลกได้จริงๆ พลังแห่งการเรียนรู้ การปรับตัว การแสดงออก และที่สำคัญที่สุดคือพลังแห่งการทำความดี
กิจกรรมคืนนี้ยังไม่จบ ชาวจิตอาสาเปิดสภาสรรพสิ่ง เพื่อให้อาสาทุกคนได้แสดงจินตนาการของตนเองออกมา แทนตัวเองเป็นสิ่งของที่อยู่บนโลกใบนี้และบอกเล่าความรู้สึกของตนเองสู่สมาชิกในสภานี้ได้รับรู้กัน บ้างแทนตัวเองเป็นผ้าขี้ริ้ว ยอมทำงานแม้จะเหนื่อยยาก บ้างเป็นสายน้ำที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิต บ้างเป็นมนุษย์ เป็นอากาศ เป็นท้องฟ้า เป็นแสงแดด ดวงอาทิตย์ บางส่วนผันตัวเองเป็นส่วนประกอบในการสร้างบ้านดิน เป็นแกลบ เป็นก้อนดิน นอกจากนี้ก็มีบางกลุ่มที่ให้ตัวเองเป็นผู้บันทึกเรื่องราวกิจกรรมครั้งนี้ คือเป็นสมุดบันทึก เป็นปากกา อีกกลุ่มแทนตัวเองเป็นโรงงานถุงพลาสติก และขยะ ที่คอยย้ำเตือนเพื่อนให้ตระหนักถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม ยังมีบางกลุ่มที่แทนตัวเองเป็นสิ่งเด่นๆในค่าย ทั้งระฆัง ศาลาวัด หมอน มุ้ง ผ้าห่ม และกลุ่มสุดท้ายคือตัวแทนของกำลังใจ และสายลมที่หวังดี สภาสรรพสิ่งในครั้งนี้ได้พบเห็นคุณค่าของจิตใจชาวอาสาว่าเป็นผู้ที่มองและรับรู้ความรู้สึกของสรรพสิ่งรอบตัวได้ ซึ่งสิ่งนี้เองที่จะสร้างสรรค์สังคมให้เป็นสังคมที่น่าอยู่ต่อไป
|