รถตู้สองคันนั้นพาอาสาสมัครชายหญิงต่างวัยจำนวนสิบกว่าคน ออกเดินทางจากศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ใจกลางกรุงเทพมหานคร มุ่งไปทางทิศตะวันออกสู่อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ตอนเช้ามืดของเดือนสิงหาคม โดยที่ยังไม่มีคำตอบอะไรชัดเจนมากนักเกี่ยวกับบ้านดินที่ทุกคนกำลังจะไปเป็นอาสาสมัครช่วยกันสร้าง
“ บ้านดิน..บ้านที่สร้างด้วยดิน มันเป็นยังไง ? ดินใช้สร้างเป็นบ้านได้ด้วยเหรอ ? ” คำถามแรกถูกถามขึ้นในรถตู้ “ แล้วกลุ่มรักษ์เขาชะเมาที่ว่านี้เป็นใคร ? ทำอะไร ? ” นี่เป็นคำถามที่ตามมา ก่อนที่ฉัน ผู้ซึ่งเป็นคนดูแลอาสาสมัครเหล่านี้ระหว่างการเดินทาง จะตอบไปอย่างคร่าวๆ ด้วยความที่ฉันพอจะรู้จักกลุ่มรักษ์เขาชะเมาบ้าง แต่ฉันก็ยังไม่เคยร่วมงานด้วย
กลางทุ่งนาสีเขียวในเขตตำบลทุ่งควายกิน ในเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา บ้านดินหลังนั้นก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า บ้านดินที่เราจะต้องช่วยกันลงมือสร้างเป็นบ้านดินที่นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษมสร้างค้างไว้ มันเป็นบ้านหลังเล็กยกพื้น กว้างยาวไม่เกิน 3 เมตร มุงหลังคาเรียบร้อย มีผนังที่ก่อด้วยดินอยู่ 3 ด้าน เหลือไว้ให้เราทำกันต่ออีกด้านหนึ่ง
กระบวนการสร้างบ้านเริ่มตั้งแต่การขุดดินเหนียวแฉะๆ ในทุ่งนาข้างบ้าน นวดดินด้วยเท้า ผสมดินด้วยแกลบ เสร็จแล้วตักขึ้นมาจากบ่อดิน คลุกเข้ากับฟางข้าว ก่อนเอาไปปั้นเป็นผนังที่มีโครงไม้ไผ่สานรอไว้อยู่ ส่วนผนัง 3 ด้านที่มีอยู่แล้วนั้น เราช่วยกันเอาดินเปียกๆฉาบให้เรียบโดยใช้มือของเรา ไม่มีเกรียง หรือเครื่องมืออื่นใดนอกจากจอบ เสียม กับมีดพร้า แทบทุกอย่างทำด้วยมือทั้งสิ้น สุดท้ายแล้วพวกเราบางคนที่มีอารมณ์ศิลป์ก็ละเลงลวดลายดินปั้นศิลปะนูนสูงกันตามผนัง (ฉันปั้นรูปนกเงือกแบบนูนสูงอวดฝีมือไว้ด้วยตัวหนึ่ง) ก่อนจะฉาบด้วยสีธรรมชาติจากดินลูกรังที่พวกเราไปช่วยกันแอบขุดมาจากผิวถนนมาผสมกับกาวแป้งเปียก และน้ำมันพืช พวกเราต่อเติมบ้านดินไปได้นิดหน่อย สุดท้ายแล้วบ้านก็ยังสร้างไม่เสร็จดีนัก แต่ก็รู้สึกภูมิใจ ด้วยความที่ในชีวิตหนึ่งของคนเรา คงจะไม่มีโอกาสได้สร้างบ้านด้วยมือของตัวเองกันง่ายๆ
ความจริงแล้วการสร้างบ้านด้วยดิน ทำให้เรารู้ว่าแท้จริงแล้วเราทุกคนสามารถสร้างบ้านได้ด้วยตนเอง การสร้างบ้านด้วยดินเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังไม่ทำลายทรัพยากรโลก ตราบใดที่ดินยังสามารถขุดหามาใช้เป็นวัสดุก่อสร้างหลักได้จากบริเวณบ้านของตัวเอง การสร้างบ้านดินจึงไม่ใช่เพียงแต่การสร้างบ้าน แต่กลายเป็นกระบวนการเรียนรู้ในการดำรงชีวิตอยู่แบบทางเลือก
และเพื่อเป็นการเรียนรู้ ในค่ายครั้งนี้จึงไม่ได้มีเฉพาะการสร้างบ้านดิน แต่เรายังได้ดำนาปลูกข้าวแบบดั้งเดิมกันด้วย
หลังจากที่มีวิทยากรชาวบ้านมาสอนวิธีการทำนาปลูกข้าวในช่วงเช้าวันถัดมาแล้ว เราก็ได้ดำนากันเป็นครั้งแรกในชีวิตในแปลงนาข้าวข้างๆ โรงเรียนโรงเล่น ที่เป็นที่ทำการของกลุ่มรักษ์เขาชะเมานั่นเอง
ขาก้าวเดินถอยหลังทีละก้าว มือกำข้าว 3-4 ต้น ปักดำลงไปในพื้นดินโดยใช้นิ้วโป้ง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ คนละ 3-4 แถว ไล่จากหัวแปลงไปท้ายแปลง.. ฉันรู้สึกว่าการดำนาปลูกข้าวไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเลย สำหรับคนเมืองที่ไม่คุ้นชิน ลำพังเพียงแค่การก้าวเท้าเดินในนาก็เป็นเรื่องยาก ถ้าเช่นนั้นแล้วชาวนาที่ต้องทำนาทุกปีล่ะ...
ฉัน บี-ผู้ร่วมงาน และไก่-น้องจากจุฬาฯ เป็นสามคนสุดท้ายที่เดินออกจากแปลงดำนา เรารู้สึกภูมิใจที่เห็นแนวต้นข้าวที่พวกเราช่วยกันปักดำ ถึงแม้ว่ามันจะโย้ไปเย้มา ดูไม่ค่อยเป็นระเบียบเท่าไรนักก็ตาม อย่างว่านั่นแหล่ะ มันเป็นการดำนาครั้งแรกในชีวิตของใครหลายคน ฉันเชื่อว่าหลังจากดำนาแปลงนี้เสร็จแล้ว คงไม่มีใครในกลุ่มพวกเรากินข้าวเหลือทิ้งเหลือขว้างเป็นแน่ เพราะกว่าจะได้ข้าวมาแต่ละเม็ด แต่ละรวงนั้น มันต้องแลกมาด้วยหยาดเหยื่อแรงกายจริงๆ กับคนอย่างฉันที่ร้อยวันพันปีไม่เคยได้ออกกำลังกายนี้ ถึงกับปวดขาตึงน่องไป 3 วัน 7 วัน
นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้มากขึ้น ทางกลุ่มรักษ์เขาชะเมาก็เลยจัดโปรแกรมให้เราได้ลงสัมผัสชุมชนด้วย พวกเราได้ไปพบลุงทุม ที่เป็นหมอยา มีวิชาความรู้เรื่องสมุนไพรมากที่สุดในตำบลทุ่งควายกิน อีกคนก็ ลุงสุ่น ที่ทำสวนผลไม้แบบปลอดสารเคมี ลุงสุ่นประหยัดรายจ่ายไปได้มากเพราะเลิกซื้อยาฆ่าแมลง กับปุ๋ยเคมี แล้วหันมาใช้น้ำหมักชีวภาพ กับปุ๋ยชีวภาพ สุขภาพร่างกายก็ดีขึ้นด้วยเพราะไม่ต้องสูดดมเอาสารพิษเข้าร่างกายเวลาทำสวน เสร็จแล้วพวกเราก็ยังได้ไปดูป่าชายเลน ไปดูแม่น้ำประแสร์ ไปดูโบสถ์เก่าแก่สวยๆ ที่วัดทุ่งควายกิน อีกด้วย
ตกกลางคืน คืนแรกมีการฝึกจิตภาวนาด้วยเสียงเพลงประกอบท่ากายบริหารที่ทำให้ฉันหายใจโล่งขึ้นเยอะ คืนถัดมาพระอาจารย์สายมาสนทนาธรรมกับพวกเรา เสียดายที่พวกเราบางคนง่วงนอน แต่ก็ไม่มีใครถึงขั้นสัปหงก |