เช้าวันหนึ่งฉันไปส่งกล้วยที่ตลาด หลังจากทำธุระเสร็จ ก็มายื่นรอแม่ตรงหัวมุมสี่แยกข้างหนึ่ง เพื่อจะกลับด้วยกัน
เป็นการรอที่มักไม่ได้รู้สึกว่า รอ เพราะแทบทุกครั้งฉันมักจะมองนั่นดูนี่ไปเรื่อย ประหนึ่งว่ากำลังอ่านหนังสือสักเล่ม
แต่เป็นการอ่านจากชีวิตจริง เหตุการณ์จริง....
สักพักหนึ่ง ก็ปรากฏรถเข็นขายข้าวโพดปิ้งกับชายผู้หนึ่งอยู่ข้างหน้า ไม่ทันสังเกตว่าเขามาจากทางไหน
คงเพราะใจกำลังเหม่อเลยคิดเรื่องอื่นอยู่ ภาพของชายขายข้าวโพดได้ตกเป็นเป้าสายตาของฉันตั้งแต่นั้น
รถที่เขาใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากินนั้น เป็นรถประเภทสามล้อเครื่อง ที่ด้านบนต่อเป็นกระบะสี่เหลี่ยมสำหรับ
วางข้าวโพดฝักเขียวที่อัดแน่นมาเต็มที่ ด้านท้ายของกระบะที่ต่อกันทำเป็นเตาถ่านเพื่อใช้ปิ้งย่างข้าวโพด
ด้านล่างของกระบะทำเป็นคล้ายๆ ตู้ คงเป็นที่ใส่สัมภาระหรือเปลือกข้าวโพดกระมัง หลังจากเกลี่ยถ่านในเตา
จนได้ที่ และวางข้าวโพดลงไป เขาก็ยืนอ่านหนังสือพิมพ์ไปพลาง สูบบุหรี่ไปพลางอย่างสบายอารมณ์ ฉันเริ่ม
มองชายหนุ่มแบบจริงจัง อายุอานามคงราวๆ ๒๐ ปลายๆ หรือ ๓๐ ต้นๆ สวมกางเกงและใส่หมวกปีกกว้าง
ลายพรางแบบทหาร เสื้อแขนยาวลายสก็อตปล่อยชาย ให้ภาพของหนุ่มลูกทุ่งอีสานที่ขยันขันแข็งในการ
ทำมาหากินและอพยพมาทำงานต่างถิ่น
....เวลาผ่านไปชั่วขณะหนึ่งโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากไปกว่าที่เขายกบุหรี่ขึ้นดูดเป็นระยะ และพลิกหน้าหนังสือพิมพ์
นานๆ ครั้งจึงจะหันไปพลิกกลับสิ่งที่อยู่ในกระบะถ่านนั่น ....และแล้วก็มีชายอีกคนเดินเข้ามาซื้อข้าวโพดปิ้งจากเขา
แต่ต้องผิดหวังกลับไปเพราะยังไม่สุก ฉันยังยืนมองอยู่ที่เดิมอีกพักใหญ่ ถามตัวเองว่า สนใจอะไรนักหนา
แล้วก็ตอบได้ว่า อ๋อ เท่าที่นึกออกฉันยังไม่เคยเห็นการปิ้งข้าวโพดขายแบบนี้ที่ไหน ที่ปิ้งย่างทั้งเปลือก
(มีลอกเปลือกและตัดหนวดออกบ้าง) ทำไมแกเลือกทำวิธีนี้ ส่วนใหญ่ที่เห็นมา จะเป็นการปอกเปลือก
ทั้งหมดแล้วปิ้งบนตะแกรง ผลผลิตสุดท้ายก็จะได้ข้าวโพดที่เม็ดดูเหี่ยวๆ และมีรอยไหม้ดำๆ ปะปน
นั่นทำให้ตั้งใจจะเข้าไปอุดหนุนและอยากลองลิ้มชิมรสชาติ กับอีกอย่างคือท่าที หรือจะเรียกว่า ลุ๊ค (look) ก็ได้
ที่ดูสบายๆ ของพี่แก ไม่มีท่าทีเร่งร้อน แถมอ่านหนังสือพิมพ์ไป ดูดบุหรี่ไปพลางอย่างสบายอารมณ์ และรอคอย
ปล่อยให้เตาถ่านทำหน้าที่ของมันไป ฉันคิดเอาเองว่า แกอาจจะมีความสุขมากกว่าอีกหลายๆ คนด้วยซ้ำที่มีเวลา
ทำเช่นนั้น ที่น่าขำคือ ฉันคิดว่าตัวเองอยากจะเข้าไปพูดคุย ถามนั่นถามนี้ อยากรู้จักทักทายกับแก มากกว่า
จะอยากกินข้าวโพดเสียอีก
เมื่อได้เวลาประมาณหนึ่ง คะเนว่าข้าวโพดน่าจะสุกแล้ว ฉันจึงปฏิบัติการจู่โจม “พี่ สุกรึยัง” ชายเสื้อลายบอกว่า
ต้องอีกแป๊บหนึ่ง ฉันเลยชวนคุย
“ขายฝักละเท่าไร”
“๑๐ บาท”
“งั้นเอา ๒ ฝัก” เมื่อยังต้องรอ ก็เลยชวนแกคุยต่อ
“พี่มาจากไหนล่ะเนี่ย”
“นครชัยศรี”
“มาไกลเหมือนกันนะ ทำไมไม่ขายแถวนั้นล่ะ”
“ขายไม่ค่อยดี แฟนขายอยู่แล้วคนหนึ่ง” อ้อ มีแฟนแล้ว
“อยู่แถวไหนของนครชัยศรีล่ะ” ถามเจาะลึกลงไปอีก
“วัดกลางบางแก้ว”
“อ้อ ไม่ค่อยได้เห็นข้าวโพดปิ้งทั้งเปลือกเลย อย่างนี้คนใจร้อนทำไม่ได้นะเนี่ย”
“ไม่ได้ เอาเร็วๆ ไม่ได้ ต้องค่อยเป็นค่อยไป”
“อย่างนี้ ถ้าลูกค้ามาเยอะๆ จะปิ้งทันเหรอ”
“มันช้าตอนเตาแรกๆ สักพักก็ไล่กันมาเรื่อย” คงจริงของแก กว่าถ่านจะติดไฟและระอุได้ที่ก็เป็นเพียงช่วงแรก
และการปิ้งก็เป็นการทยอยๆ กัน ส่วนใหญ่ลูกค้าก็ไม่ได้มามะรุมมะตุ้มกันทีเดียว มักใช้วิธีสั่งไว้ แล้วไปซื้ออย่างอื่น
ค่อยกลับมาเอา“แล้วนี่ต้นทุนซื้อมาฟักละเท่าไหร่ล่ะ” แกหยุดไปนิดหนึ่งก่อนตอบ คงเพราะกลัวว่าคนซื้อจะหาว่า
เอากำไรมากรึเปล่าก็ไม่รู้
“๔ บาท”
“แพงเหมือนกันนะ ไหนจะค่าถ่าน ค่าน้ำมันรถ ค่าถุงอีก” ฉันมองว่าเป็นราคาที่สมเหตุสมผลพอดี ไม่ถูก
และไม่แพงเกินไป ฉันเกือบจะถามไปแล้วว่า ทำไมแกไม่ปอกเปลือกย่างก็พอดีกับที่แกกำลังปอกเปลือกข้าวโพด
ที่สุกเมล็ดเต็งตึงเหลืองอร่ามที่ปรากฏนั่นดูจะให้คำตอบแทน มันดูเหมือนข้าวโพดต้มมากกว่าข้าวโพดปิ้ง
ฉันจ่ายเงินพร้อมได้ข้าวโพดมา ๒ ฟัก เมื่อกินดูจึงรู้ชัดว่าการปิ้งทั้งเปลือกอร่อยกว่า คงเพราะความหวาน
ที่มาจากข้าวโพดเองแท้ๆ โอชะที่ยังคงอยู่ภายใต้เปลือกฝักดำๆแทนที่จะสูญไปกับน้ำถ้านำไปต้ม หรือปิ้ง
แบบปอกเปลือก สัญญาเลยว่า ถ้าเจอแกอีกก็จะอุดหนุน ไม่ใช่เพราะแค่ความอร่อยติดลิ้น แต่เพราะ
ความอิ่มเอมใจชั่วขณะที่ได้คุยกับแก ที่บอกว่า “เร็วๆ ไม่ได้ ต้องค่อยเป็นค่อยไป”
ดูเหมือนจะเตือนสติตัวเราได้อยู่ในที บางทีการช้าลงหรือใจเย็น ก็อาจทำให้เราได้ลิ้มรสชาติที่หอมหวาน
เป็นรางวัล บางสิ่งบางอย่างมีเพียงเวลาและปฏิกิริยาที่พอเหมาะเท่านั้น จึงจะเกิดผลดีการเร่งให้สุก
ก่อนเวลาอันควร ย่อมไม่ทำให้ความหอมหวานนั้นปรากฏและอยู่ในความทรงจำได้เลย และเพราะกอง
เถ้าถ่านสีดำมีเรื่องราวบางอย่างอยู่ในนั้น บางทีปรัชญาจากกองเถ้าถ่าน อาจกำลังบอกแก่ฉันว่า
ภายใต้รูปลักษณ์อันดำเกรียมนั้น มีเนื้อทองอยู่ในนั้น เมื่อถอดรูป ถอดเปลือกออก เนื้อแท้ก็ปรากฏ
และมันบอกเราว่า มีใครสักคนได้ก่อไฟขึ้น ใครคนหนึ่งที่ยังคงมีชีวิตอยู่อย่างไม่เร่งร้อน และทำให้ใคร
อีกหลายๆ คนได้ลิ้มรสโอชะจากแผ่นดิน
|